ประธานาธิบดีศรีลังกาจะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการวางระเบิดในปี 2019

ประธานาธิบดีศรีลังกากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า เขาจะแต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งมีผู้พิพากษาศาลฎีกาเกษียณเป็นประธาน เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาที่ปรากฏในรายงานของสถานีโทรทัศน์อังกฤษ ว่าหน่วยข่าวกรองของประเทศในเอเชียใต้มีส่วนร่วมกับการก่อการร้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562 ที่มีผู้เสียชีวิต 269 ราย

การโจมตีดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการก่อการร้ายพร้อมกัน เป้าหมายอยู่ที่โบสถ์ 3 แห่ง และโรงแรมท่องเที่ยว 3 แห่ง ผู้เสียชีวิตรวมถึงชาวต่างชาติ 42 คน จาก 14 ประเทศ

การตัดสินใจของประธานาธิบดี Ranil Wickremesinghe ในการแต่งตั้งคณะกรรมการภายใต้การนําของผู้พิพากษา เพื่อสอบสวนข้ออ้างที่ว่าหน่วยข่าวกรองศรีลังกามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายที่กลุ่มหัวรุนแรงที่ได้แรงบันดาลใจจากรัฐอิสลามก่อขึ้น นั้นเป็นผลมาจากแรงกดดันของสมาชิกรัฐสภาในฝ่ายค้าน ผู้นําศาสนา นักเคลื่อนไหว และญาติของเหยื่อ โดยพวกเขากล่าวว่าการสอบสวนครั้งก่อนๆ ล้มเหลวในการเปิดเผยความจริงเบื้องหลังการก่อการร้ายดังกล่าว

ภารกิจหลักของคณะกรรมการ คือการสอบสวน “ข้อกล่าวหาร้ายแรงที่ Channel 4 เพิ่งเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้” ตามที่สํานักงานประธานาธิบดีระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งระบุว่า “ข้อกล่าวหาดังกล่าวได้เทน้ํามันลงไฟ”

แถลงการณ์ระบุว่า อดีตอัยการสูงสุด “ได้อ้างข้อกล่าวหาคล้ายกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของมาสเตอร์ไมด์เบื้องหลังการก่อการร้ายระเบิดอีสเตอร์อันน่าสยดสยอง” นอกจากนี้ยังระบุว่า คณะกรรมาธิการรัฐสภาจะสอบสวนและ “แก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างครอบคลุม”

ในรายการที่ออกอากาศเมื่อวันอังคาร Channel 4 สัมภาษณ์ชายคนหนึ่งที่กล่าวว่าเขาได้จัดการประชุมระหว่างกลุ่มท้องถิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากรัฐอิสลาม National Thowheed Jamath และเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองระดับสูงที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี Gotabaya Rajapaksa เพื่อวางแผนสร้างความไม่มั่นคงและให้ Rajapaksa ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโสในอดีต ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2562

Rajapaksa ถูกบังคับให้ลาออกในกลางปี 2565 หลังมีการประท้วงขนานใหญ่ต่อวิกฤตเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศ

Rajapaksa ในวันพฤหัสบดีปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเขา กล่าวว่าข้ออ้างที่ “กลุ่มหัวรุนแรงอิสลามก่อการร้ายฆ่าตัวตายเพื่อทําให้ฉันได้เป็นประธานาธิบดีนั้นฟังดูน่าหัวเราะ”