ส่องบ้านจ่าคลั่ง ถูกทิ้งร้าง 2 ปี หลังกราดยิงโคราช เชื่อชนวนเหตุมาจากเรื่องกู้เงินซื้อบ้านสวัสดิการทหาร ที่กำลังถูกขุดคุ้ยร้องเรียนในขณะนี้
(18 ต.ค.65) จากกรณีที่ ผู้ประกอบการ สร้างบ้านขายให้กับกองทัพบก เข้าร้องเรียนกับ ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ หลังถูกทหารนายหนึ่ง ของกองทัพบกข่มขู่คุกคาม เพราะกุมหลักฐานสำคัญ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินสวัสดิการกองทัพบกที่ไม่โปร่งใส และเป็นชนวนเหตุปฐมบทให้เกิดเหตุ จ่าคลั่งกราดยิงที่โคราช
เรื่องราวดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการกู้เงินมาซื้อบ้านของกำลังพลกองทัพบก หลายรายเป็นทหารชั้นผู้น้อย กู้ยืมเงินจากกรมสวัสดิการทหารบก ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาท ต่อบ้านหนึ่งหลัง แต่ในยอดกู้ 1.5 ล้านบาทนี้ จะได้บ้านราคาประมาณ 1 ล้านบาท กรมสวัสดิการทหารบก อ้างว่า จะต้องหักค่าธรรมเนียมกองทัพบก 5% ยกตัวอย่างเช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท กำลังพลจะต้องกู้สวัสดิการ วงเงิน 1,500,000 บาท และจะถูกหัก 5% คือ 75,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมกองทัพบก โดยผู้กู้ไม่เคยรู้เลยว่า มีการหักเงินตรงส่วนนี้ไว้ ซึ่งเมื่อมาสืบสาวราวเรื่องแล้ว พบว่าเงินค่าธรรมเนียม 5% นี้ มันไม่เคยมีอยู่จริง แต่มีการส่งต่อให้กับพ่อบ้าน ส่งต่อไปยังเสธ. ไปยังนายทหารระดับนายพล
ซึ่งคุณก้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่กุมความลับเรื่องเงิน 5% นี้ ถูกนายทหารบุกมาแย่งชิงเอกสารบางอย่าง พร้อมข่มขู่ถึงชีวิต เพราะเป็นความลับที่เกี่ยวข้องกับทหารระดับนายพล จนต้องตัดสินใจเข้าร้องต่อทนายไพศาล และทนายได้พาไปเข้าพบ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เพื่อยื่นขอคุ้มครองพยาน
ส่วนจำนวนเงินส่วนต่าง อีกประมาณ 4 แสนบาท ผู้ประกอบการต้องมอบให้ผู้กู้ (กำลังพล) เพื่อเป็นเงินสำหรับตกแต่งบ้าน แต่สำหรับเหตุการณ์จ่าคลั่ง ที่กราดยิงที่โคราช พบว่าไม่ได้รับเงินส่วนต่างประมาณ 4 แสนบาทตรงนี้ จึงไปตามทวงถามเงินกับผู้ประกอบการที่ชื่อ ป้านงค์ เพราะเข้าใจว่ายักยอกเงินของจ่าไป ทำให้ป้านงค์ที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ขณะที่ทนายไพศาลมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอบคุณทั้งผู้ประกอบการทุกท่านที่กล้าเอาความปลอดภัยของตัวเองออกมาเสี่ยง เพื่อตัดวงจรอุบาทว์นี้ ขอให้หน่วยงานช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาเหล่านี้ด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเกี่ยวข้องกับนายทหารที่ได้รับการฝึกยุทธวิธีการรบมา ถ้าวันหนึ่งเขาเข้าใจผิด หรือรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็อาจจะเกิดเหตุซ้ำรอยจ่าคลั่งที่โคราชขึ้นมาอีกก็ได้
ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 ที่ จ.ส.อ.จักรพันธุ์ อายุ 32 ปี สังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ นครราชสีมา ได้ใช้อาวุธปืนยิง พ.อ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และนางอนงค์ แม่ยายของผู้บังคับบัญชาจนเสียชีวิต ก่อนที่จะก่อเหตุใช้อาวุธสงครามกราดยิงประชาชน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 88 ราย (ผู้เสียชีวิต 31 ราย ผู้บาดเจ็บ 57 ราย)
ซึ่งจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าปมเหตุของการกราดยิงเริ่มมาจากข้อพิพาทเรื่องเงิน และการซื้อขายบ้านที่ผู้ก่อเหตุซื้อจากนายหน้า ซึ่งเป็นเครือญาติของผู้บังคับบัญชา แต่ตกลงกันไม่ได้ ขบวนการการซื้อขายบ้านดังกล่าว เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเป็นเครือญาติของนายทหาร นำโครงการมาเสนอขายให้ทหารชั้นผู้น้อยในราคาถูก พร้อมกับจัดหาเจ้าหน้าที่มาดูแลการประเมินราคาบ้านให้สูงกว่าความเป็นจริง และอนุมัติเงินกู้เพื่อนำเงินส่วนต่างมาแบ่งกันนั้น
ล่าสุด วันนี้ (18 ตุลาคม 2565) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ บ้านโป่งแมลงวัน หมู่ที่ 5 ต.โคกกรวด อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านของ จ.ส.อ.จักรพันธุ์ ที่เป็นฉนวนเหตุกราดยิงเมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 พบว่าบรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา ด้านหน้าบ้านล็อกกุญแจปิดประตูรั้วไว้อย่างแน่นหนา สภาพบ้านเริ่มทรุดโทรม ฝ้าเพดานสีเริ่มลอก รอบบริเวณบ้านมีหญ้า และต้นไม้ขึ้นรกร้าง เนื่องจากไม่มีผู้อยู่อาศัยมานานกว่า 2 ปีตั้งแต่เกิดเหตุกราดยิง ขณะเดียวกันบ้านหลังที่อยู่ติดกันกับบ้านจ่าจักรพันธุ์ พบว่ามีผู้อยู่อาศัย แต่เจ้าของบ้านจะมาอยู่อาศัยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
ส่วนบ้านรูปแบบเดียวกันที่อยู่ในโครงการบ้านจัดสรรสวัสดิการทหาร เหมือนบ้านจ่าจักรพันธุ์ ซึ่งอยู่ใกล้กันอีก 5-6 หลัง พบว่ามีผู้อยู่อาศัยทุกหลัง นอกจากนี้บริเวณด้านหลังของบ้านจ่าจักรพันธุ์ ก็พบว่ามีชาวบ้านมาซื้อที่และกำลังทำการก่อสร้างบ้านหลังใหม่เพิ่มอีก 2 หลัง
จากการสอบถามนายเสริม อายุ 50 ปี ชาวบ้านรายหนึ่งบอกว่า ตนเองได้มาซื้อที่ 60 ตรว.บริเวณด้านหลังบ้านจ่าจักรพันธุ์ และได้นำดินมาถมเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัย โดยจะลงเสาเข็มในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ซึ่งก่อนซื้อที่ตรงนี้ก็ได้จุดธูปบอกจ่าจักรพันธุ์ว่า ตนมาดี จะมาปลูกบ้านอยู่อาศัยติดกัน มาเป็นเพื่อนบ้านกันด้วย และไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะเรื่องก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ทุกคนอโหสิกรรมให้ เนื่องจากทราบว่าเรื่องนี้จ่าจักรพันธุ์คงจะมีอะไรกดดันชีวิตอย่างหนัก จนทำให้ต้องระบายอารมณ์ออกมาเช่นนั้น
ด้านนายนิพันธ์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านอีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเองก็ได้มาซื้อที่บริเวณหลังบ้านจ่าจักรพันธุ์ไว้ และได้แบ่งขายให้กับเพื่อนๆ มาสร้างบ้านอยู่ใกล้กัน ยกเว้นบ้านจ่าจักรพันธุ์ ที่ไม่มีใครอยู่ ถูกปล่อยให้รกร้างจนบ้านเริ่มทรุดโทรมแล้ว ตอนนี้หลายคนก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไร เพราะช่วงหลังปีใหม่นี้ก็จะมีคนมาสร้างบ้านใหม่ติดกันนี้เพิ่มอีก 2 หลัง แม้ว่าทุกคนจะยังไม่ลืมเรื่องราวเหตุกราดยิงครั้งนั้นก็ตาม แต่อีกมุมหนึ่งชาวบ้านทุกคนก็รู้สึกสงสารจ่าจักรพันธุ์ที่ถูกกดดันจากผู้บังคับบัญชา ดังนั้นชาวบ้านทุกคนจึงอโหสิกรรมให้หมดแล้ว ส่วนเรื่องที่เพิ่งมีการร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรมล่าสุด ตนก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องลักษณะคล้ายกันนี้