ตร.จ่อเชิญ “พ่ออิคคิว” สอบปากคำหลังงานศพลูก ยืนยันไม่มีใครเข้า-ออกห้องเกิดเหตุ

ผบ.ตร.ยืนยัน “อิคคิว” ตายจริง พร้อมกำชับ ผบช.น.-ผบก.น.1 ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา หลังงานศพจะเชิญ “พลเอก” เจ้าของปืนมาสอบปากคำ ด้าน ผู้การ น.1 เผยพบคราบเขม่าดินปืนที่มืออิคคิวเพียงคนเดียว พร้อมกระสุนฝังอยู่ในหัว-เร่งผ่าตรวจพิสูจน์ ยืนยันไม่มีผู้ใดเข้าออกห้องที่เกิดเหตุ

วันนี้ (21 เม.ย. 66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์ชีวิตของ นางสาวสุพิชชา หรือ จีจี้ เน็ตไอดอลชื่อดัง และ นตท.ภูมิพัฒน์ หรือ อิคคิว ว่า ได้รับรายงานจาก ผบช.น. และ ผบก.น.1 ยืนยันว่า นตท.ภูมิพัฒน์ เสียชีวิตจริง เนื่องจากมีพยานรู้เห็นจำนวนมาก ซึ่งพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนจะต้องชี้แจงละเอียดของคดีให้เกิดความชัดเจน เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ จะเอาผิดใครได้หรือไม่นั้น ต้องรอผลการสอบสวนให้ชัดเจนก่อนเช่นกัน ซึ่งได้กำชับ ผบช.น.และผบก.น.1 ไปแล้ว ให้ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา และสามารถชี้แจงความคืบหน้าแก่สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง กรณีอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้น ต้องเชิญบิดาของ นตท.ภูมิพัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของปืนมาให้ปากคำเพื่อให้ทราบว่า นตท.ภูมิพัฒน์ ได้ปืนมาอย่างไร ซึ่งต้องรอหลังงานศพจึงจะเข้ามาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน

ส่วนเรื่องพฤติการณ์การก่อเหตุนั้น เบื้องต้นเชื่อว่า นตท.ภูมิพัฒน์ เป็นผู้ก่อเหตุ เนื่องจากมีภาพกล้องวงจรปิดเห็นผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนเข้าไปในห้อง ซึ่งต้องรอผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ของกองพิสูจน์หลักฐานก่อน สำหรับการฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายของญาตินางสาวสุพิชชานั้นสามารถทำได้ เพราะถือว่าเป็นการละเมิดจากการทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง

การที่ในโลกโซเชียลมีความสงสัยว่า นตท.ภูมิพัฒน์ เสียชีวิตจริงหรือไม่ มีความพยายามปกปิดความจริงเพื่อให้หลบหนีไปนั้นหรือไม่ ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งตำรวจต้องทำคดีอย่างตรงไปตรงมาเพื่อตอบสังคมให้ได้ อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติในโลกโซเชียลที่มีการตั้งข้อสงสัยในคดีต่างๆ สุดท้ายก็จะต้องจบด้วยการพิสูจน์ตามพยานหลักฐานให้ความจริงปรากฏ จึงขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม

อีกทั้งยังฝากเตือนเนื่องจากหนึ่งในผู้เสียชีวิตยังเป็นเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปี ยังอยู่ในความคุ้มครองของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก การโพสต์ข้อมูลต่างๆ ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ผู้เสียชีวิตนั้นอาจเข้าข่ายความผิดได้ จึงต้องโพสต์ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง

ขณะที่ทางด้าน พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 กล่าวว่า ผลการตรวจคราบเขม่าดินปืนพบว่าอยู่ที่มือของฝ่ายชายเพียงคนเดียว ไม่พบคราบเขม่าที่ร่างของฝ่ายหญิง และยังพบหัวกระสุนที่หายไป 1 นัดจากที่เกิดเหตุฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะของฝ่ายชายด้วย เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างอยู่ส่งหัวกระสุนไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นกระสุนจากปืนกระบอกที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่ ส่วนพ่อของฝ่ายชายก็จำเป็นต้องเรียกมาสอบปากคำด้วย เนื่องจากเป็นเจ้าของอาวุธปืน โดยติดต่อไปแล้ว แต่ทางพ่อฝ่ายชายขอจัดงานศพลูกให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะเข้าให้ปากคำ

ส่วนประเด็นว่าพ่อฝ่ายชายจะมีความผิดทางกฎหมาย จากการให้ลูกชายครอบครองและใช้ปืนด้วยหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ เพราะมีข้อกฎหมายหลายส่วน ดังนั้นต้องรอคำให้การการพ่อก่อน แต่ตำรวจก็ได้รวบรวมข้อมูลอาวุธปืนและอาวุธสงครามทั้งหมดที่ปรากฏในโซเชียลทั้งหมดของอิคคิว โดยยังไม่ยืนยันว่าเป็นปืนจริงหรือบีบีกัน ซึ่งหลังจากนี้ก็อาจจะเรียกเพื่อนของอิคคิวที่ปรากฏภาพถือปืนที่คล้ายอาวุธสงครามมาสอบปากคำ

แต่โดยทั่วไปกรณีเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี กฎหมายห้ามครอบครองและใช้อาวุธปืน ยกเว้นกรณีที่อยู่ในสนามยิงปืน ก็อาจจะมีระเบียบแยกต่างหาก เพราะจะเห็นได้ว่านักกีฬาเยาวชนก็สามารถฝึกซ้อมในสนามยิงปืนได้ ดังนั้นตำรวจก็จะต้องตรวจสอบเรื่องระเบียบข้อปฏิบัติกับกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง

ทั้งนี้ พล.ต.ต.อัฏธพร ยังได้ยืนยันว่าคอนโดมิเนียมที่เกิดเหตุ มีกล้องวงจรปิดหลายตัว และข้อมูลคีย์การ์ด ยืนยันว่า จีจี้ ลงไปรับ อิคคิว ที่ด้านล่างคอนโดฯ ขึ้นมาที่ห้องตอนประมาณ ตี 4 ของวันที่ 18 เมษายน โดยไม่มีท่าทีทะเลาะหรือมีปากเสียงกัน และจนถึงเวลาที่แม่และเพื่อนจีจี้มาพบศพเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 เมษายน และแจ้งตำรวจ ก็ไม่มีใครเข้าออกห้องดังกล่าว จากนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงที่เกิดเหตุ ก็ได้สั่งปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุบริเวณชั้น 14 ปีกเหนือ เป็นระยะเวลา 20 นาที โดยในระยะเวลาดังกล่าว มีเพียงเพื่อนบ้านที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 2 คน เท่านั้นที่ออกจากชั้นดังกล่าว

ส่วนห้องที่เกิดเหตุ ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป มีเพียงเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลัก 5 คน เข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ ตามด้วยแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลรามาธิบดี 3 คน พร้อมพนักงานสอบสวนเข้าไปชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตนเองในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็ได้เข้าไปสังเกตการณ์ด้วย ใช้เวลาเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและชันสูตรประมาณ 3 ชั่วโมง จึงให้ครอบครัวเข้าไปดูศพ ก่อนจะบรรจุศพลงถุงซิปล็อค และให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนำร่างผู้เสียชีวิตออกไปชันสูตรอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลรามาธิบดี

ทั้งนี้ภายในห้องที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ ส่วนเพื่อนบ้าน ตำรวจมีรายชื่อทั้งหมดแล้ว อยู่ระหว่างประสานมาสอบปากคำ แต่เบื้องต้นสาเหตุที่เพื่อนบ้านอาจไม่ได้ยินเสียงปืนขณะก่อเหตุ เนื่องมาจากห้องที่เกิดเหตุไม่ใช่ห้องสตูดิโอ แต่มีลักษณะห้องชุด ที่มีห้องหลายห้องอยู่ภายใน เช่นห้องนอน และห้องน้ำกั้น ประกอบกับผนังค่อนข้างหนา เพราะเป็นคอนโดมิเนียมหรู ทำให้เสียงผ่านออกไปไม่ได้