ตะลึง! ทีมข่าว Sanook ย้อนดูสถิติ พบข่าวคู่รัก “ทำร้าย – ฆ่าให้ตาย” มีให้รายงานเกือบทุกวัน

ข่าวการเสียชีวิตของเน็ตไอดอลสาวที่เกิดขึ้นล่าสุด ทำให้เกิดปรากฏการณ์ชาวเน็ตด่าผู้กระทำ ขุดพฤติกรรมเลวร้ายของชายหนุ่มผู้ลงมือก่อเหตุอุกอาจ และแบ่งปันเรื่องราวเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับไอดอลสาวเมื่อครั้งที่เธอยังมีชีวิต แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์น่าเศร้าครั้งแรกที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ในระยะเวลาใกล้กัน” ที่กำลังสะท้อนปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ย้อนดูสถิติข่าวความรุนแรงในความสัมพันธ์ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีรายงานข่าวลักษณะนี้ “เกือบทุกวัน” อย่างไรก็ตาม ข่าวเหล่านี้เป็นเพียง “ส่วนน้อย” ของสังคมไทย ยังมีความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังประตูบ้านอีกมากมายที่ไม่เคยถูกนำออกมาบอกเล่าหรือไม่กลายเป็นข่าวดัง 

วันที่ 19 เมษายน 2566 

สุดช็อก! “จีจี้ สุพิชชา” เพจ “เรื่องของจี้” เน็ตไอดอลสาว เสียชีวิตแล้ว


“จีจี้ สุพิชชา” เจ้าของเพจ “เรื่องของจี้” ถูกยิงเสียชีวิตอยู่ภายในห้องพักของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุง เธอถูกยิงที่บริเวณศีรษะ และบริเวณใกล้กันพบศพฝ่ายชายที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารอากาศ บุตรชายของนายทหารระดับสูง มีร่องรองถูกยิงที่ศีรษะนอนเสียชีวิตอยู่ พร้อมพบอาวุธปืนตกอยู่ในห้อง และปลอกกระสุน 2 นัด 

โลกออนไลน์มีการขุดคุ้ยโพสต์เก่า ในตอนที่ทั้งสองคนเคยเลิกรากันไปช่วงหนึ่ง ซึ่งมีแฟนคลับเข้าไปถามจีจี้ว่า เลิกรากันด้วยสาเหตุใด จีจี้โพสต์ภาพร่างกายที่มีรอยบอบช้ำจากการถูกทำร้ายแทนคำตอบ ก่อนจะลบออกไป ทั้งนี้ คนใกล้ชิดเน็ตไอดอลคนดัง ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ว่า จีจี้โดนทำร้ายประจำ จนเลิกกันไป ตอนนั้นทุบตี และเคยใช้ปืนจ่อหัว ข่มขู่ 

วันที่ 18 เมษายน 2566

สาวถูกแฟนเก่าบุกยิง กอดปกป้องเพื่อนไม่ให้โดนลูกหลง กระสุนเจาะท้ายทอย 2 นัดดับ


ที่เกิดเหตุพบร่างผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นหญิงสาว อายุ 32 ปี มีบาดแผลถูกยิงที่ท้ายทอย 2 นัด อาการสาหัสนอนจมกองเลือด เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปั๊มหัวใจ ก่อนเคลื่อนย้ายส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ซึ่งต่อมาผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 

เจ้าหน้าที่พบหัวกระสุนปืนตกอยู่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นแฟนเก่าของคนเจ็บ ขี่ จยย. มาจอดด้านหน้าของโรงแรม ก่อนจะเดินตามเข้ามาจ่อยิง ต่อมา เจ้าหน้าที่รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตถูกยิงอยู่บริเวณห้องพักร้าง ซึ่งเป็นคนร้ายก่อเหตุยิงแฟนเก่า พบมีบาดแผลถูกยิงด้วยปืน .38 เข้าที่ขมับขวา 1 นัด 

วันที่ 9 เมษายน 2566 

สาวเพิ่งแต่งงานปีเดียว โดดชั้น 4 หนีตาย ผัวโหดตีหัว ราดน้ำร้อน ขวดเบียร์ยัดอวัยวะเพศ


เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวถูกสามีเอาน้ำร้อนราดใส่ตัวได้รับบาดเจ็บ อาการสาหัส หลังรับแจ้งจังพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบหญิงสาว อายุ 27 ปี มีอาการปวดแสบร้อนทั่วร่างกาย สภาพเนื้อตัวเปียกชุ่มด้วยน้ำและเศษดินโคลน จากการตรวจสอบตามร่างกายพบบาดแผลจากการถูกน้ำร้อนลวกตามร่างกายหลายแห่ง และบาดแผลที่ศีรษะจากการถูกตีด้วยของแข็ง 

คนก่อเหตุเป็นสามีของเธอ ที่เพิ่งแต่งงานกันได้เพียงปีเศษ สาเหตุที่สามีลงมือทำมาจากเมายาบ้าจนประสาทหลอน และระแวงว่าเธอจะมีชายอื่น สามีจึงใช้มีดขู่บังคับให้เธออยู่ในห้อง และล็อกประตูขัง พร้อมสั่งห้าม หากลุกหนีจะเอามีดแทงให้ตาย ซึ่งในขณะนั้นฝ่ายสามีได้ต้มน้ำกับเตาแก๊สในห้องและบอกว่าจะเอาเทราดใส่เธอ เธอจึงตัดสินใจเลือกที่จะถูกน้ำร้อนเทราดเพราะหากลุกหนีเธอคงถูกมีดแทงตาย ระหว่างรอน้ำร้อนเดือดฝ่ายสามีได้คลุ้มคลั่งใช้ขวดเบียร์ยัดที่หว่างขาแล้วตบกระแทกซ้ำจนเธอจุกและเจ็บปวดมาก แต่ยังไม่หนำใจ ฝ่ายสามีใช้ขวดใบเดียวกันตีซ้ำที่ศีรษะจนแตกเลือดไหลแล้วเดินไปเอาน้ำร้อนที่ต้มไว้เดือด ๆ มาเทราดตัว จนปวดแสบปวดร้อนอย่างทรมาน เธอจึงตัดสินใจกระโดดลงคลองว่ายน้ำข้ามคลองขึ้นอีกฝั่ง ปีนข้ามรั้วมาขอความช่วยเหลือ 

วันที่ 20 มีนาคม 2566 

ผัวตีนโหด เตะเมียสลบปมล้างห้องน้ำไม่สะอาด เมียเก่าแฉ เคยถูกกระทืบจนสันหลังเคลื่อน


ผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลจากผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความอัดอั้นตันใจ ระบายสิ่งที่เจอให้สังคมได้รับนรู้ถึงความโหดร้าย ป่าเถื่อนของสามี โดยในโพสต์ลงข้อมูลไว้ว่า ถูกสามีทำร้าย 5 ครั้ง จนครั้งล่าสุดครั้งที่ 6 ถูกเตะจนสลบ เพราะล้างห้องน้ำไม่สะอาด ผู้โพสต์ยังแนบภาพประกอบ เห็นได้ถึงร่องรอยช้ำตามร่างกาย 

หญิงสาวคนดังกล่าวเล่าว่า อยู่กินกับสามีได้ 8 เดือน เริ่มถูกทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้นเหตุจากเรื่องเล็กน้อย โดยจะถูกทำร้าย 10 วันครั้ง ที่ผ่านมาตนเองถูกตบตีหลายครั้ง แต่ก็ให้อภัยทุกครั้ง แม้กระทั่งเจอยาเสพติดในกางเกงก็ไม่ว่า เพราะรักเขา จนล่าสุดครั้งที่ 6 ถูกเตะจนสลบ เพียงเพราะล้างห้องน้ำไม่สะอาด จึงตัดสินใจเลิก 

วันที่ 19 มีนาคม 2566 

ผัวผูกคอตาย เมียหายลึกลับ ล่าสุดพบโครงกระดูกถูกเผา หาตั้งไกลอยู่ใต้จมูกแค่นี้เอง


ครอบครัวโร่เข้าแจ้งความ ให้ช่วยตามหาลูกสาว หลังออกจากบ้านพร้อมกับสามี กระทั่งภายหลังพบศพสามี ผุกคอตายเสียชีวิตในบ้านพัก โดยก่อนที่เขาจะผูกคอตาย ได้ส่งข้อความมาหาแม่ของฝ่ายหญิง ทำนองว่ามีความแค้นและขอโทษ ซึ่งทางครอบครัวฝ่ายหญิงเชื่อว่าลูกสาวอาจถูกสามีทำร้ายร่างกายจนตาย และนำศพทิ้งอำพราง ก่อนผูกคอตายหนีความผิด 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีกองไฟเกือบ 10 กอง กระจายอยู่ทั่วบริเวณบ้าน และพบว่าในจำนวนนั้นมีประมาณ 3 กอง ซึ่งอยู่ด้านหลังห้องน้ำที่ผู้ตายผูกคอเสียชีวิต มีกระดูกปริศนาตกอยู่ภายในกองไฟ ไม่แน่ใจว่าเป็นกระดูกคนหรือกระดูกสัตว์ 

วันที่ 14 มีนาคม 2566 

ทนแรงหึงไม่ไหว! สาวสองให้ตร.ช่วยไกล่เกลี่ยเลิกแฟนหนุ่ม เชื่อวัยเบญจเพสทำรักล่ม


หญิงสาวอายุ 25 ปี เดินทางเข้าพบกับตำรวจ เพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องราวทะเลาะกับแฟนหนุ่ม โดยเธอบอกว่าถูกแฟนหนุ่มทำร้ายร่างกายจนเขียวช้ำไปหมด โดยอยากให้ตำรวจพูดไกล่เกลี่ยและแยกทางกัน สุดท้ายตำรวจเป็นคนกลางพูดคุยให้ทั้งสองฝ่าย โดยตกลงแยกย้ายเดินทางใครทางมัน 

“สาเหตุที่เลิกเพราะเขาทำร้ายหนูหลายครั้ง จนแขนเขียวช้ำ เขาหึงหนูมาก ไม่อยากให้ทำงานล่วงเวลา พอเลิกงานให้กลับมาบ้านทันที พอกลับมาบ้านต้องทำงานบ้านทุกอย่าง โดยที่เขาไม่อยากจะช่วย เขาบอกว่าเป็นภรรยาที่ดีต้องทำงานเป็น งานบ้านก็ต้องเก่งด้วย พอเขาทำร้ายหนู ทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยไม่เอาแล้ว” 

วันที่ 4 มีนาคม 2566 

ร้านพวงหรีดเลือดนอง ผัวแทงเมียเก่าสยอง 15 แผล เผยคำพูดประโยคเดียวฟางเส้นสุดท้าย


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุคนร้าย เพศชาย อายุ 61 ปี ใช้อาวุธมีดกระหน่ำแทงลูกจ้างร้ายรับทำพวงหรีด จำนวน 15 แผลเสียชีวิตคนร้าน มูลเหตุเบื้องต้นเกิดจากผู้ต้องหาและผู้ตายเลิกรากัน แต่ผู้ต้องหามาขอคินดีอดีตภรรนา แต่ไม่สำเร็จ จึงนำมาซึ่งการลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยมแล้วหลบหนีไปได้ 

ต่อมา ผู้ต้องหาเดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือแทงผู้เสียชีวิต เนื่องจากแค้นที่มาขอคินดีแล้วยังถูกปฏิเสธ แถมถูกเย้ยว่ามีผัวใหม่แล้ว จึงโมโหทำร้ายร่างกายและแทงจนเสียชีวิต หลังก่อเหตุเดินเท้าลัดเลาะทุ่งนาไป และเข้ามอบตัวกับตำรวจสายตรวจ 

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 

สาวตกนรกทั้งเป็น ผัวซ้อมทารุณ ขู่ฆ่าลูก 5 ขวบด้วย ตำรวจไม่ยุ่งบอกเป็นเรื่องผัวเมีย


เฟสบุ๊กหญิงสาวคนหนึ่งส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือ ระบุว่า “ฉันอยากขอความช่วยเหลือค่ะ ฉันเลิกกับเขามาเป็นปีแล้ว แต่เขาไม่ยอมเลิก เขาขู่ถ้าหนีจะฆ่าทั้งแม่ทั้งลูก เขามีปืนและยาค่ะ เคยแจ้งตำรวจแล้วเขาบอกเรื่องของครอบครัว ตำรวจไม่ยุ่งแล้วก็เงียบ ฉันอยากออกไปจากนรกนี้ช่วยฉันกับลูกด้วยค่ะ” 

หญิงสาวรายนี้อยู่กินกับสามีมาได้ 10 กว่าปี มีลูกด้วยกัน 1 คน โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน หลังจากมีลูก สามีเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งหึงหวงแบบไม่มีเหตุผล มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว โมโหง่าย ที่ผ่านมาเคยเตะหมาเดินผ่านจนขาหักมาแล้ว และทำร้ายร่างกายตัวเองบ่อยครั้งจนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งมาแล้ว ตัวเองถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บทั้งตามศีรษะ ลำตัว ใบหน้าปูดช้ำมาแล้วเป็นประจำ มีชีวิตอยู่กับสามีคนนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น และเคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน 

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 

สาววัย 42 คบหนุ่มรุ่นน้อง ถูกขืนใจถ่ายคลิปขู่ รีดเงินกว่า 3 แสน ค่าเทอมลูกก็ไม่เหลือ


หญิงสาว อายุ 42 ปี เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าถูกทำร้ายร่างกาบ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และถูกแอบถ่ายเพื่อใช้แบล็คเมล์ ต้องสูญเงินไปเกือบสามแสนบาท โดยถูกก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ล่าสุดถูกผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย จนเขียวช้ำทั้งร่างกาย และที่ใบหน้าปูดบวม ปากแตก โดยการก่อเหตุแบล็กเมล์เรียกเงินดังกล่าว ผู้เสียหายได้บันทึกการสนทนาทางเฟสบุ๊ก และสลิปการโอนเงินที่ตนเองถูกผู้ก่อเหตุข่มขู่บังคับ โดยใช้ข้ออ้างว่าจะเอาคลิปลับดังกล่าวไปประจาน และจะไปอาลัวาดที่ทำงาน รวมถึงที่โรงเรียนลูกด้วย 

จากการสอบถามพบว่า หญิงคนดังกล่าวได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ เพราะได้ทำงานด้วยกัน ทำให้ได้คุยกันมากขึ้น คบหาพูดคุยกันมาเกือบ 9 เดือน ช่วงแรกที่คบกันก็ดี แต่หลัง ๆ เขาเริ่มมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะรถมอเตอร์ไซค์จะโดนยึด จึงมาข่มขู่เอาเงิน เหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่มารับที่บ้านและบังคับเข้าโรงแรม ข่มขู่สารพัด และโดนทำร้ายร่างกาย

iStockiStock 

คำพูดที่ว่า “เรื่องผัวเมียเขา เราไม่เกี่ยว” ยังคงฝังรากลึกอยู่ในสามัญสำนึกของคนในสังคม จนความรุนแรงในความสัมพันธ์กลายเป็นเรื่องของคนอื่นที่เราจะไม่เข้าไปยุ่ง ทว่า ความรุนแรงเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากการทำร้ายผ่านคำพูดจา ไปสู่การลงมือทำร้ายร่างกาย และลงเอยด้วยการเข่นฆ่า จึงไม่แปลกใจนัก หากข่าวสามีทำร้ายร่างกายภรรยาหรือแฟนหนุ่มฆ่าแฟนสาวยังคงวนเวียนให้เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนคล้ายกับว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้กลายเป็น “เรื่องธรรมดา” ที่สังคมไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน

แต่ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหันกลับพูดคุยและหาทางแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังแล้วหรือยัง?

  • “ความเป็นชาย” ที่ผู้ชายแบกรับและกดทับทุกคน
  • “ความรุนแรงในครอบครัว” ผลลัพธ์จากระบบคิด “ชายเป็นใหญ่”