ประชาธิปัตย์ปัดดีลร่วม รัฐบาลก้าวไกล พร้อมค้านแก้ ม.112

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงชี้แจงกรณีกระแสข่าวร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ว่า ขณะนี้พรรคยังไม่มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.เพื่อพิจารณากรณีนี้ จากที่มีข่าวว่ามีการเจรจาพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ นั้น เป็นเรื่องบิดเบือนทั้งสิ้น ซึ่งการปล่อยข่าวลักษณะดังกล่าว เป็นการดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมือง

ปฏิบัติตามข้อบังคับ ข้อ 96 ระบุชัด ว่า ให้สมาชิกและกรรมการบริหารพรรคพิจารณาร่วมกันว่าจะร่วม หรือ ไม่ร่วมรัฐบาล หรือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ไม่มีใครสามารถใช้อำนาจเพียงคนหนึ่งคนใด ไปเจรจาเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลได้

ส่วนที่อาจจะมีสมาชิกพรรค และอดีต ส.ส. ออกมาเรียกร้องให้โหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ล้วนเป็นความเห็นในนามส่วนตัว แต่ตนขอชี้แจงในนามพรรค

สำหรับการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลนั้น ย้ำว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งลำดับ ที่ 1 จึงเป็นพรรคที่เป็นแกนนำหลักในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ไม่ไปก้าวล่วง และไม่มีสิทธิ์ไปทักท้วง ข้อตกลงใดๆ

ส่วนกรณีการแก้ไข ม.112 พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ไปก้าวล่วง ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเสนอแก้ไข หรือยกเลิก ก็เป็นสิทธิ์ของพรรคนั้นๆ แต่อดุมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการยกเลิก หรือ แก้ไข ม.112

ทั้งนี้ หากประชาชน ได้ไปศึกษารายละเอียด ร่างแก้เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่มีหลักฐาน ระบุไว้ใช้เจนว่า เสนอให้มีการยกเลิก ม.112 พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า

โดยตัวของกฎหมาย ม.112 ไม่สามารถไปทำร้ายใครได้ หากไม่มีการกระทำผิดเข้าข่าย ซึ่งหากพรรคก้าวไกล จะเปลี่ยนแปลงประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ก้าวล่วง แต่ต้องมาต่อสู้กันในระบบรัฐสภา พร้อมยืนยัน ส.ส.ปชป. 24 คน จะติดตามการยกเลิก หรือแก้ไข ม.112 จึงขอให้พรรคก้าวไกลโชคดีในการจัดตั้งรัฐบาล และทำอย่างเต็มที่

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ณ เวลา นี้ กลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการพรรค เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ เมื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลาออก และจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค ในวันที่ 24 พ.ค. นี้ เพื่อหารือแนวทางในการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ต่อไป

ส่วนการนำเสนอข่าว มีการล็อกตัวใครเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ทุกคนมีสิทธิ์ทั้งหมด แม้จะแพ้การเลือกตั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะปิดพรรค และหยุดดำเนินกิจการทางการเมือง เพราะประชาธิปัตย์ เป็นสถานบันมากว่า 77 ปี แม้นโยบายไม่หวือหวา แต่ยั่งยืน พร้อมจับมือกัน เพื่อให้พรรคก้าวไปข้างหน้าได้ และวันหนึ่งก็จะกลับมา

นอกจากนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึง กรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่พาดพิงพรรคที่แพ้การเลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ว่า หากย้อนกลับไปเมื่อนายวิโรจน์ แพ้การเลือก พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยไปด้อยค่า นายวิโรจน์ แม้แต่น้อย ซึ่งเชื่อว่า พ่อแม่คงมีการสั่งสอนมาดี

แต่ด้วยตัวของนายวิโรจน์ ที่มีสันดานดิบ ก้าวร้าว ด้อยค่า คนอื่น คำพูดที่ออกมาแต่ละอย่าง เสียดสี ด้อยค่าพรรคการเมืองอื่น โดยพรรค ประชาธิปัตย์ ยืนยันที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ด้วยหลักความบริสุทธิ์ ตามแนวทางระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ส่วนความพร้อมในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านนั้น แม้พรรคประชาธิปัตย์ จะมีเพียง 24 เสียง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ย่อมเป็นการทำหน้าที่เพื่อประชาชน และ พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นมาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน สิ่งไหนที่ผลักดันได้ ในบางนโยบายก็จะพยายามทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด

อย่างไรก็ตาม การจะการจับมือกับ พรรคพลังประชารัฐ และภูมิใจไทย เป็นฝ่ายค้านหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ เช่นเดียวกับการพูดคุยเพื่อร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ในกรณีที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และไม่มีเรื่อง ม.112 มาเกี่ยวข้องหรือไม่ จะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่ายังไม่สามารถตอบในนามส่วนตัว ต้องเป็นมติพรรคเท่านั้น แต่ย้ำว่า การตัดสินใจในทุกเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ ยึดถือประชาชนเป็นที่ตั้ง และย้ำจุดยืนในหลักการสนับสนุน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข