หนุ่มใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง จู่ๆ พบ “จุดสีม่วง” ขึ้นบนหน้าอก หมอบอกอยู่ได้อีกแค่ 3 สัปดาห์

หนุ่มสายลุย พบ “จุดสีม่วง” ขึ้นบนหน้าอก ปีนเขาอยู่ดีๆ แทบขิดก่อนถึงยอดเขา แพทย์ถอนหายใจบอกข่าวร้าย มีชีวิตอยู่ได้สูงสุด 3 สัปดาห์เท่านั้น

ตามรายงานของสำนักข่าว Mirror พบว่า “แฮร์รี ซิมป์สัน” ชายจากไอร์แลนด์เหนือ  เดินทางในดูไบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เขาอาบน้ำและพบว่ามีจุดสีม่วงจำนวนหนึ่งบนหน้าอกของเขา และแน่ใจว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมันเห็นมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เท่าทีควร และยังคงใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงต่อไป ทั้งกระโดดร่ม ขี่เจ็ตสกี ขับรถยนต์ รวมทั้งกิจกรรมสร้างความตื่นเต้นในรูปแบบอื่นๆ เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 26 ปีของเขา

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเมื่อเขาไปโรงยิมเพื่อออกกำลังกาย เขาพบว่าพละกำลังของเขาไม่ดีเท่าเมื่อก่อน และในบางครั้งถึงกับหายใจไม่ทัน นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจกับบางอย่างในร่างกายที่ผิดปกติไป สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับไปที่ปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยแพทย์วินิจฉัยว่าเขาอาจติดเชื้อไวรัสขณะเดินทางในดูไบ ดังนั้น จึงสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะให้กลับมากินที่บ้าน

ซึ่งหลังจากกินยาได้ 2 สัปดาห์ แฮรี่ก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกลับมาแข็งแรงตามเดิม เขาจึงกลับมาทำกิจกรรมที่ท้าทายตัวเองอีกครั้ง ด้วยการปีนภูเขาที่สูงที่สุดในไอร์แลนด์ แต่มันกลับไม่ง่ายเหมือนที่คิดไว้ เมื่อร่างกายของเขาแทบจะฝืนไม่ไหว มีอาการวูบ หัวใจเต้นเร็ว หายใจติดขัดอย่างรุนแรง 

“ผมไปหาหมอและเขาพูดว่า ‘เราคิดว่าคุณอาจติดเชื้อไวรัสจากดูไบ’ ดังนั้นจึงให้ยามากินเป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ ผมคิดว่าผมต้องไม่เป็นไร จึงลงไปทางใต้และปีนเขา ภูเขาที่สูงที่สุดในไอร์แลนด์… ผมต้องพักไม่ต่ำกว่า 20 ครั้งเพื่อปีนภูเขาลูกนั้น รู้สึกได้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ หัวใจผมเต้นแรงแทบบ้า” 

ตามรายงานด้วยระบุว่า หลังจากการปีนเขาในครั้งนั้น แฮรี่ตัดสินใจกลับไปหาหมออีกครั้ง และขอให้แพทย์ตรวจเลือดอย่างละเอียด ก่อนที่ทางโรงพยาบาลจะโทรมาแจ้งให้เขาเก็บกระเป๋ามาอยู่ที่ศูนย์มะเร็ง เนื่องจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์ (Acute Lymphoblastic Leukemia – ALL) และในตอนนั้นก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัว เมื่อหมอบอกว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 สัปดาห์

“ตอนแรกพวกเขาแค่พูดว่า ‘ฟังนะ ไม่ต้องการทำให้คุณกลัวหรืออะไร แต่เราต้องการให้คุณมาที่ศูนย์มะเร็ง ที่โรงพยาบาลในเมืองพรุ่งนี้เช้า เป็นเตียงเดียวที่เรามีให้บริการในเบลฟาสต์ เตรียมกระเป๋ามาด้วย คุณอาจต้องค้างคืนหนึ่ง'”

“ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะป่วย ผมไม่เคยป่วยเลยในชีวิตด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผมไม่เป็นหวัด ผมไม่เคยป่วยเลยจริงๆ… ผมแค่นั่งร้องไห้ ย่าของผมนั่งอยู่ที่นั่นและเธออารมณ์เสีย ส่วนพ่อก็พยายามที่จะเป็นกำลังให้ผม”

มะเร็งเริ่มต้นจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในไขกระดูก ดังนั้นแฮร์รีจึงต้องทำ “เคมีบำบัด” เพื่อจัดการกับมะเร็งและหยุดการแพร่กระจายไปยังสมองของเขา ก่อนที่จะทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ซึ่งบริจาคโดยน้องสาวของเขา เขาใช้เวลาตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงตุลาคมปีที่แล้วในวอร์ดของโรงพยาบาล โดยไม่อนุญาตให้ผู้มาเยี่ยมเยือนเนื่องจากมาตรการของโควิด

“ไม่มีคีโมใดในโลกที่จะแก้ปัญหาของผมได้ มะเร็งที่ผมเป็นมันมักจะกลับมาเป็นซ้ำอีกเสมอ สเต็มเซลล์เป็นโอกาสเดียวของฉันที่จะมีชีวิตอยู่”

ระหว่างนั้นเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัวอย่างทรมาน และถึงกับได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง ในเวลาเพียงห้าสัปดาห์ จากการรักษาต่างๆ มากมาย เขาน้ำหนักลดลงไปถึง 15 กก. และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่แพทย์กังวลว่าเขาจะไม่สามารถสู้กับมันต่อไปได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามคิดบวกอยู่เสมอ

ในขณะที่เขายังทำได้ เขาขี่จักรยานออกกำลังกายในโรงพยาบาล และระดมทุนได้ 40,000 ปอนด์สำหรับองค์กรการกุศลอย่าง Friends of the Cancer Centre รวมถึง Anthony Nolan และ DKMS ซึ่งช่วยเชื่อมโยงผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด และผู้บริจาคเลือดหรือสเต็มเซลล์

“มันเหลือเชื่อมากที่ผู้คนมารวมตัวกันรอบตัวคุณ และคุณเห็นว่าผู้คนมีความหมายกับคุณอย่างไร มันเปลี่ยนมุมมองของผมเกี่ยวกับทุกสิ่งอย่างไปอย่างสิ้นเชิง มีผู้คนมากมายที่ผมจะทะนุถนอมตลอดไป คุณไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อต้องผ่านประสบการณ์เช่นนั้น และจากนั้นคนใกล้ชิดที่สุดและที่รักที่สุดของคุณก็อยู่ที่นั่นเพื่อคุณทุกวัน เป็นเรื่องที่ดีท่ามกลางวันที่เลวร้ายมากมาย”

หลังจากต่อสู้มาอย่างยาวนาน ในที่สุด 2 วันก่อนวันคริสต์มาส แฮร์รี่ได้รับแจ้งว่าไม่มีสัญญาณของมะเร็งในการตรวจไขกระดูกครั้งล่าสุดของเขา ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่มะเร็งจะกลับมา เขายังคงไปตรวจสุขภาพทุกสัปดาห์และรับยาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง แต่ในวันเกิดปีที่ 27 ของเขาในวันเสาร์นี้ (18 ก.พ.) เขาก็สามารถกลับไปขับรถโกคาร์ทได้แล้ว

“ทุกคืนเมื่อผมจะเข้านอน ผมใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาทีเพื่อขอบคุณสำหรับสิ่งที่ฉันทำในแต่ละวัน และผมก็หลับไปอย่างมีความสุข จากนั้นเมื่อตื่นขึ้นมา ผมก็มีความสุขเมื่อรู้ว่าได้ตื่นมาอีกวัน”