สาวร้านเค้กเหยื่อสมุนพี่ตั้ม เจอสายลึกลับโทรเคลียร์ เสนอจ่าย 5 แสน ขอให้เรื่องจบ

สาวร้านเค้กเหยื่อสมุนพี่ตั้ม เจอสายลึกลับโทรเคลียร์ เสนอจ่าย 5 แสนให้เรื่องจบ ลั่น จะสู้จนกว่าคู่กรณีจะออกจากราชการ

จากกรณีที่ น.ส.พรพิมล หรือ แนน อายุ 30 ปี เป็นเจ้าของร้านเค้กสุขใจ วงเวียนตาคลี อ.ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โพสต์ร้องเรียนผ่านเฟซบุ๊กเพราะว่ามีลูกน้องคนสนิทตำรวจ ในจังหวัดนครสวรรค์จำนวน 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์มาทำร้ายร่างกายจนศีรษะแตกเย็บ 8 เข็ม ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดขึ้นโรงพัก สภ.ตาคลี เพื่อแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ที่ทำร้ายสาวใหญ่รายนี้ อ้างว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของตำรวจในจังหวัดนครสวรรค์ ที่รับราชการในพื้นที่ สภ.ตาคลี และขณะทำร้ายประกาศให้ชาวบ้านรู้เสียงดังว่า “มาสั่งสอนคนที่พูดไม่ดีกับ พี่ตั้ม”

จนกระทั่ง นายทศพล หรือ เหี่ยว และ นายนิพนธ์   หรือแชมป์ สองพี่น้องผู้ต้องหาในคดีนี้ ขี่รถจักรยานยนต์เดินทางมามอบตัวกับตำรวจ และต่อมา ได้มีหนังสือคำสั่งของตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ ให้ ส.ต.อ.อนุรักษ์ ด้วงสั้น ผบ.หมู่ ทำหน้าที่สืบสวน สภ.ตาคลี ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจที่พัวพันอยู่ในคดีนี้ ไปปฏิบัติราชการ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด พ.ต.อ อิทธิเดช อิ่มภูมี ผกก.สภ.ตาคลี ได้นำกระเช้าเดินทางไปเยี่ยม น.ส.พรพิมล ผู้ที่ถูกนายแชมป์และนายเหี่ยวรุมทำร้ายจนบาดเจ็บ ที่ร้านเค้กสุขใจของเจ้าตัว บริเวณริมถนนวงเวียนตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยมีการสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะมีการกล่าวปลอบขวัญ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า คดีนี้ตำรวจจะคอยคุ้มครองให้ความปลอดภัย และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากสอบสวนแล้วพบว่าคู่กรณีที่เป็นตำรวจในสังกัด สภ.ตาคลี มีความผิดจริง ก็จะมีการลงโทษทางวินัย และดำเนินคดีอาญา โดยไม่มีการเข้าข้างหรือช่วยตำรวจด้วยกันเองอย่างแน่นอน

ด้าน น.ส.พรพิมล ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า คดีนี้ยังคงติดใจในเรื่องของการให้ปากคำของคนร้าย ที่ระบุว่า ตนไปกล่าวหานายแชมป์และนายเหี่ยวว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเด็กเดินสายล่อซื้อยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ ตนขอยืนยันว่า ตนไม่เคยรู้จักเขาทั้งคู่ แล้วก็เพิ่งจะย้ายมาเปิดร้านขายเค้กอยู่ที่ อ.ตาคลี ได้เพียงแค่ครึ่งปี ตนจะไปรู้และไปพูดกล่าวหาพวกเขาได้อย่างไร และวันนั้น พวกเขาก็เป็นคนพูดเอง ว่าพี่ตั้มสั่งมา จึงมองว่า เป็นแก้ต่างเพื่อไม่ให้สาวไปถึงนายตั้ม ที่เป็นคนใช้ให้พวกเขามารุมทำร้ายตนมากกว่า

ส่วนที่ทั้งสองบอกว่าใช้เพียงแค่หมวกกันน็อคตีตนจนหัวแตกเย็บ 8 เข็มเพียงเท่านั้น ตนมองว่า รอยแผลแตกเป็นทางยาวแบบนี้ ไม่น่าจะใช่หมวกกันน็อกเพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน

“ตั้งแต่เกิดเรื่องจนมีข่าวเป็นที่สนใจของประชาชน หนูก็ได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายนั้น โทรมาขอให้หนูจบเรื่องไม่เอาความ พร้อมกับยื่นข้อเสนอเป็นเงินถึง 500,000 บาท เพื่อให้จบเรื่องราวทุกอย่าง แต่หนูยืนยัน ไม่ยอม ทำหนูเจ็บเลือดอาบหน้าขนาดนี้ แถมยังทำร้ายหนูต่อหน้าลูกน้อย ซึ่งเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน คิดดู ลูกของหนูจะกระทบกระเทือนจิตใจมากแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ หนูจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดทุกคน ทั้งนายแชมป์และนายเหี่ยว รวมถึงพี่ตั้มที่เป็นตำรวจ หากเป็นไปได้ ตนจะร้องเรียนให้พี่ตั้มออกจากราชการไปเลย เพราะเป็นถึงตำรวจ กับใช้อำนาจหน้าที่มารังแกประชาชนแบบนี้ สมควจจะเป็นตำรวจต่อไปหรือไม่”

เมื่อถามถึงความปลอดภัย น.ส.พรพิมล ระบุว่า ถึงแม้ตอนนี้ จะมีการดำเนินคดีกับนายแชมป์และนายเหี่ยว จนมีการสั่งย้ายพี่ตั้มให้ออกจากพื้นที่ และทาง ผกก.สภ.ตาคลี รับปากจะมีการส่งเจ้าหน้าที่หมุนเวียนมาตรวจตราและคอยดูแลความปลอดภัยให้แล้วก็ตาม แต่ตนก็ยังก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี ซึ่งตนห่วงมากในเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะลูกของตนที่ยังเล็ก กลัวจะได้รับอันตรายตามไปด้วย เพราะทางฝั่งคู่กรณี ยังเป็นตำรวจที่ยังมีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่อยู่

ขณะที่ พ.ต.อ.นิวัติ พิพัฒน์สิริ รอง ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับคดีนี้ว่า หลังจากมีหนังสือคำสั่งของตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ ให้ ส.ต.อ.อนุรักษ์ ด้วงสั้น ผบ.หมู่ ทำหน้าที่สืบสวน สภ.ตาคลี มาปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ นั้น พบว่า เช้าวันนี้ ส.ต.อ.อนุรักษ์ ได้เดินทางมารายงานตัวที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ตามคำสั่งแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยคำสั่งให้เจ้าตัวมาประจำการอยู่ที่นี่ เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนของตำรวจ สภ.ตาคลี ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย หากพบว่า เจ้าตัวมีส่วนผิดจริงในการเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น ก็ให้ดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด และในส่วนของ ภ.จว.นครสวรรค์ ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ส.ต.อ.อนุรักษ์ ด้วยเช่นกัน โดยตนขอยืนยันว่า จะมีมีการช่วยเหลือตำรวจด้วยกันอย่างแน่นอน จึงขอให้สบายใจได้ หากพบว่ามีความผิด ก็ดำเนินคดีไปตามความผิด แถมยังต้องถูกลงโทษตามวินัยของตำรวจด้วย แต่ก็ต้องรอผลการสอบสวน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายก่อนจะดำเนินการต่อไป