ส่องปฏิกริยาประชาชน หลัง ผบ.ทร.แถลงข่าว เรือหลวงสุโขทัย กับวาทะเรื่อง “เสื้อชูชีพ”

หลังจากที่เมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) พลเรือเอกเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วย พลเรือเอกชลธิศ นาวานุเคราะห์เสนาธิการทหารเรือ ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 15:00 น. วันนี้ พบผู้ประสบภัยเพิ่ม 6 นาย ในจำนวนนี้ เสียชีวิตแล้ว 5 นาย อีก 1 นาย อยู่ในการดูแลของแพทย์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งค้นหากำลังพลที่ยังสูญหาย

สำหรับเรือหลวงสุโขทัยใช้งานมาแล้ว 36 ปี แต่อุปกรณ์และระบบอาวุธบนเรือทั้งหมด ยังมีศักยภาพใช้งานได้ดีในระดับสูง เพิ่งผ่านการซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ เมื่อ2 ปีที่แล้ว เพื่อเตรียมไปประจำการณ์ ชายฝั่งทะเลอันดามัน และมีแผน จะขยาย อายุการใช้งานเรือต่อไปอีกประมาณ10ปี

 
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเรือหลวงสุโขทัย ออกปฏิบัติภารกิจลาดตระเวณ อยู่ในอ่าวไทยและนำกำลังพลไปร่วมงานถวายพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่จังหวัดชุมพร แต่เนื่องจากมีคลื่นลมแรง ทะเลมีคลื่นสูง 3-4 เมตร ตั้งแต่อ่าวไทยตอนกลางไปถึงตอนล่าง น้ำเข้าหัวเรือ เข้าห้องเครื่องยนต์ และเครื่องจักรสำคัญในเรือ กำลังพลพยายามสูบน้ำออกด้วยเครื่องสูบน้ำที่มีอยู่ในเรือแต่ไม่ทัน เพราะน้ำทะลักเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าเรือรบจะถูกสร้างขึ้นมาแบบมีระบบผนึกน้ำ เพื่อป้องกันให้เรือลอยอยู่ได้ ต่างจากเรือสินค้าทั่วไป แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันไว้ได้ สุดท้ายระบบไฟฟ้าตัด จึงต้องลอยลำอยู่ ในระยะ 20 ไมล์ทะเล จากท่าเรือบางสะพาน และได้ ประสานกองทัพเรือ เพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกัน ก็มีเรือสินค้าและเรือบรรทุกน้ำมัน เข้าให้ความช่วยเหลือกำลังพลด้วย

ช่วงแรกที่วางแผน กองทัพเรือจะส่งเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ช่วยสูบน้ำออกจากเรือหลวงสุโขทัย แต่ปริมาณน้ำมาก ไม่สามารถติดตั้งเครื่องสูบน้ำได้ รวมทั้งการนำเรือหลวงกระบุรีเข้าเทียบช่วยกำลังพลก็ทำได้ยาก

สำหรับการช่วยเหลือกำลังพลในเรือที่เกิดเหตุ ลูกเรือทุกนาย จะมีเสื้อชูชีพประจำตัวทุกคน และมีแพชูชีพ สำหรับขนย้ายกำลังพล ซึ่งจากการประเมินพบว่า เรือเอียง 60 องศาคงที่ จึงยังไม่ลำเลียงคนออก แต่ปรากฎว่าน้ำเริ่มเข้าเรือเพิ่ม ทำให้เริ่มจมจากด้านท้าย จึงเกิดเหตุชุลมุนขึ้น และในช่วงนั้น สามารถช่วยเหลือกำลังพลได้ 75 นาย มีหลายนายบาดเจ็บ จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น จึงเริ่มปฏิบัติหารค้นหากำลังพลที่สูญหาย อีก 30 คน ในช่วงเช้าวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือ จะต้องรายงานเหตุการณ์ ไปถึงนายรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการคลัง เพื่อทำการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ว่าเสื้อชูชีพไม่เพียงพอสำหรับกำลังพลบนเรือ ที่จะต้องหาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ได้ พร้อมยืนยันว่า กองทัพเรือจะไม่มีการปกปิดข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จะสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา

ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารเรือย้ำอีกว่า หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยคณะกรรมการ เพื่อได้ทราบ สาเหตุ เรืออับปาง โดยจะสอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้อง สำหรับ กล่องดำ หรืออุกรณ์ ที่ใช้วิเคราะห์ เหตุการณ์ ยอมรับว่า ไม่มีอุปกรณ์บันทึกแบบนั้น เนื่องจากเรือมีอายุการใช้งานมานานแล้ว แต่จะใช้วิธีการสอบสวนจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และพยานแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ ข้อเท็จจริง พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ ยังอยู่ในภารกิจ ค้นหาผู้ประสบภัย แม้จะผ่านมา40กว่าชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังพบผู้รอดชีวิต ซึ่งห่างจากจุดที่เรือจม ถึง 60 กิโลเมตร ดังนั้น กองทัพเรือจะดำเนินการ ค้นหาอย่างเต็มที่

โลกออนไลน์เดือด วาทกรรม ผบ.ทร. มีหรือไม่มีเสื้อชูชีพ ไม่ได้แปลว่าจะรอดหรือตาย

แต่ที่เป็นประเด็นร้อนแรงที่สุด หนีไม่พ้นถ้อยแถลงของ ผบ.ทร. ที่ระบุว่า

“มี 30 คนที่ไม่มีเสื้อชูชีพ และถูกช่วยชีวิตได้ใน 75 คนแรก 18 คน ยังมีผู้สูญหาย 12 คนที่ยังอยู่ในทะเล ขณะเดียวกันกำลังพลที่มีเสื้อชูชีพครบทุกคน ก็ยังมีอีก 18 คนที่ยังอยู่ในทะเล การมีเสื้อชูชีพไม่ได้ความว่าจะรอดชีวิต หรือได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือ”

ประโยคนี้จุดประกายความเดือดในโลกออนไลน์ทันที และจี้ให้ผู้บัญชาการทหารเรือออกมารับผิดชอบมากกว่านี้ และคำตอบที่ควรจะมีให้สังคมเรื่องเสื้อชูชีพ และความปลอดภัยของชีวิตกำลังพล ก็ควรจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้