หน่อข่ากำเดียวเป็นเหตุ! ยายวัย 70 ปี ถูกแจ้งความลักทรัพย์ โซเชียลวิจารณ์เสียงแตก

หน่อข่ากำเดียวเป็นเหตุ! ยายวัย 70 ปี ถูกแจ้งความลักทรัพย์ โซเชียลวิจารณ์เสียงแตกระหว่างน้ำใจกับความถูกต้อง

จากกรณีสื่อโซเชียลได้เผยแพร่โพสต์ว่ามีคดียายท่านนึงเก็บข่าไปทำอาหาร ถูกแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์โดยการขโมยหน่อข่า เหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมวอนขอความช่วยเหลือ 

กรณีนี้ ชาวเน็ตต่างก็เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ใน 2 แง่มุม ทั้งระบุว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ยอมความกันได้ หากมีน้ำใจแบ่งปันกันคงไม่ต้องมีเรื่องมีราวกัน ขณะเดียวกัน หลายคนก็แชร์ประสบการณ์เพื่อนบ้านหยิบฉวยพืชผักของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต จนกลายเป็นเรื่องพิพาทเลิกคบหากันก็มี

ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ค. 65) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บ้านนาเหมือง ต.พังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร เพื่อไปพบ นางฉวีวรรณ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการนำทรัพย์นั้นไป และเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาพร้อมกับให้การปฏิเสธมาแล้ว เมื่อวันที่ 20 ก.ค 2565 ที่ สภ.พังโคน

นางฉวีวรรณ อายุ 70 ปี เล่าว่า วันที่เป็นเรื่องคือวันที่ 11 มิ.ย 65 ช่วงเช้าตนได้ไปเก็บหน่อข่าประมาณ 1 กำมือ มาประกอบอาหารบริเวณที่ดินสาธารณะ ใกล้ๆบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ชาวบ้านทั่วไปหาอยู่หากิน ซึ่งมีถนนกั้นระหว่างที่สาธารณะ กับที่มีโฉนด ยืนยันว่าตนเองนั้นเก็บหน่อข่าในที่สาธารณะ ระหว่างนั้นเองมีคนโทรไปบอกคู่กรณีและขับรถมาเห็นระหว่างที่ตนเองกำลังเก็บหน่อข่า ซึ่งกำลังจะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน จึงมีปากเสียงกันตรงบริเวณที่เก็บหน่อข่า จากนั้นตนก็กลับบ้านไป ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ต้องหาคดีนี้และถูกยึดรถจักรยานยนต์เป็นของกลางไว้ จึงอยากขอความเป็นธรรมเพราะวิตกกังวลอย่างมากกลัวจะติดคุก

ส่วนคู่กรณี (สงวนนาม) เพื่อนบ้านหมู่บ้านเดียวกันที่เป็นคนแจ้งความ ระบุยืนยันว่า วันเกิดเหตุมีคนเห็นนางฉวีวรรณเข้าไปเก็บหน่อข่าในที่ของคนในหมู่บ้าน ซึ่งตนได้ซื้อข่าที่ปลูกไว้ทั้งหมด เมื่อไปเห็นพบนางฉวีวรรณกำลังจะกลับพร้อมหน่อข่าจึงมีปากเสียงกันจริง ส่วนหน่อข่าถือเป็นทรัพย์สินของตน และตนเรียกค่าเสียหาย เมื่อไม่ชดใช้คุยกันไม่ได้จึงต้องแจ้งความดำเนินคดี ด้าน พ.ต.อ.ภิญโญ สุทธิสาร ผกก.สภ.พังโคน กล่าวว่า ก่อนที่จะเป็นคดีความนั้น ทางผู้ใหญ่บ้านได้เป็นคนกลางที่จะพยายามไกล่เกลี่ยเรื่องดังกล่าวอยู่หลายครั้งเพื่อหาทางออกแต่ต่างคนไม่ยอมกัน เพราะทราบมาว่าทั้งคู่ไม่ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทางฝั่งนึงก็จะเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 5,000 บาท แต่อีกฝั่งก็อ้างว่าเก็บหน่อข่าในที่สาธารณะไม่ได้เก็บในที่ของคนอื่นและไม่มีเงินจะชดใช้

ส่วนประเด็นที่ว่าตำรวจไปเรียกรับเงินผู้ต้องหาเพื่อจ่ายให้จบเรื่อง เป็นการเข้าใจคาดเคลื่อนคือ พนักงานสอบสวนได้แจ้งกลับนางฉวีวรรณ ไปว่าผู้เสียหายเรียกค่าเสียหาย 5,000 บาท ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เรียกรับเงินเองแต่อย่างใด ส่วนรถที่ยึดไว้เป็นของกลาง ตรวจพบจักรยานยนต์ถูกระงับทะเบียน แต่หากมีเอกสารมายืนยันการครอบครองก็ประกันรถออกมาได้

พ.ต.อ.ภิญโญ ยังกล่าวต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ก็อยากให้หาทางออกจบด้วยดีเพราะเป็นเรื่องคนในหมู่บ้านเดียวกัน และวันนี้ทั้งคู่กรณีมาเจอกัน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน และสื่อ ก็พยายามหาทางออกช่วยกัน แต่เหมือนจะคุยกันได้ในตอนแรก แต่พอเข้าไปคุยกันในห้องก็ไม่ลงรอยกัน ทางฝั่งผู้เสียหายก็เลยยืนยันเรียกค่าเสียหาย 5,000 บาท ส่วนอีกฝั่งก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดถ้าชดใช้เพียงเล็กน้อยสมเหตุสมผลได้ แต่ 5,000 บาทคงไม่ไหวเพราะฐานะยากจน ในเมื่อจบลงไม่ได้ สรุปต่างฝ่ายก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการไปสู้กันในชั้นศาล ทาง ผกก.จึงกำชับพนักงานสอบสวน ต้องให้ความเป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย ในเรื่องที่เกิดขึ้นดังกล่าว